รวม 4 นิทานสอนใจ (พ่อแม่) โดยนักเขียน 'โกมุนยอง' จากซีรี่ย์สุดฮิต It's Okay To Not Be Okay

 

ช่วงนี้มีใครติดซีรี่ย์ "It's Okay To Not Be Okay" เหมือนหม่าม้าบ้างยกมือขึ้นน✋✋

คืนนี้ตอนสุดท้ายแล้วน้าาา...

.

.

เป็นอีกหนึ่งซีรี่ย์ที่หม่าม้าชอบมากๆๆๆเลยค่ะ เก็บเข้าลิสต์เลยทีเดียว😁


ด้วยเนื้อเรื่อง และการเก็บรายละเอียด การใช้สัญลักษณ์ต่างๆในเรื่อง ทำให้เรื่องนี้มีเสน่ห์มากๆทีเดียว


นอกจากนี้แล้ว อีกหนึ่งอย่างในเรื่องที่หม่าม้าชอบมากคือนิทานของนางเอก 'โกมุนยอง' แต่ละเรื่องที่นางแต่งมานั้นอ่านแล้วมันจุกๆอย่างบอกไม่ถูก ไม่อยากเชื่อว่านางเป็นคนแต่งนิทานเด็กเลยอ่ะ... เหมือนแต่งมาเพื่อสอนใจผู้ใหญ่ หรือ พ่อแม่ อย่างเรามากกว่า

.

.

ไหนๆ คืนนี้ก็เป็นตอนสุดท้ายแล้ว หม่าม้าเลยขอรวบรวม "4 นิทานสอนใจ (พ่อแม่)" ของ'โกมุนยอง'มาให้ทุกคนได้อ่านกันนะคะ... เผื่อใครไม่ได้ดูซีรี่ย์ หรือไม่ใช่สายเกาหลี😁


คือหม่าม้าอยากให้ทุกคนได้ลองอ่านนิทานของนางเอกดูจริงๆ แล้วลองสะท้อนถึงตัวเราเอง... หม่าม้าว่าแต่ละเรื่องมันกระตุกต่อมอะไรบางอย่างอยู่มากทีเดียว



ใต้ภาพ.. หม่าม้าจะโพสต์เป็นเนื้องเรื่องล้วนๆนะคะ (คัดมาจากซับในNetflix) ไม่ใส่ความคิดเห็นใดๆ จะได้ไม่เป็นการตีกรอบความคิดกันเนอะ.. อ่านจบแล้วใครจุกเรื่องไหนมาเม้ามอยกันต่อได้ใน Facebook Page ได้นะคะ


[ เรื่องที่ 1 ]

"หนุ่มน้อยผู้โตมาด้วยฝันร้าย - The Boy Who Fed On Nightmares"

 

วันนี้หนุ่มน้อยตื่นเพราะฝันร้ายที่น่าหวาดกลัวเช่นเคย เพราะความทรงจำในอดีตที่อยากลืมมาหลอกหลอนในฝันทุกคืน หนุ่มน้อยเลยต้องทุกข์ทรมานไม่สิ้นสุด

 

หนุ่มน้อยกลัวการนอนหลับอย่างยิ่ง วันหนึ่งเขาจึงไปหาแม่มดแล้วขอพร

 

"ท่านแม่มดได้โปรดเถอะ เพื่อไม่ให้ผมฝันร้ายอีก ท่านช่วยลบความทรงจำเลวร้ายทั้งหมดในหัวผมที แล้วผมจะมอบทุกอย่างที่ท่านต้องการให้"

 

.....

.....

......

 

วันเวลาผ่านไปหนุ่มน้อยโตเป็นผู้ใหญ่ เขาไม่ฝันร้ายอีกต่อไปแล้ว แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด เขาไม่มีความสุขเลยสักนิด...


คืนที่จันทร์เต็มดวงสีเลือดลอยเด่น แม่มดปรากฏตัวอีกครั้ง เพื่อรับสิ่งตอบแทนจากพรที่ให้ไป

 

เขาตะโกนใส่แม่มดด้วยเสียงของผู้ใหญ่ที่คับแค้นใจ

 

"ลบความทรงจำเลวร้ายของผมไปหมดแล้ว แต่ทำไมผมยังไม่มีความสุขอีก"

 

จากนั้นแม่มดก็เอาวิญญาณของเขาไปตามสัญญา แล้วพูดว่า

 

"ความทรงจำที่เจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ความทรงจำที่เสียใจอย่างสุดซึ้ง ความทรงจำที่ทำให้คนอื่นและตัวเองเจ็บปวด ความทรงจำของการถูกทอดทิ้ง มีแค่คนที่เก็บความทรงจำเหล่านั้นไว้ในใจและใช้ชีวิตต่อไป ที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น มุ่งมั่นมากขึ้นและสุขุมกว่าเดิมได้

 

ความสุขน่ะมีแต่คนเหล่านั้นที่จะได้มันไปครอง เพราะฉะนั้น อย่าลืม.. อย่าลืมแล้วผ่านมันไปให้ได้ ถ้าผ่านมันไปไม่ได้ เธอก็จะเป็นแค่เด็กน้อยที่จิตวิญญาณไม่เติบโต"




[ เรื่องที่ 2 ]

"เด็กน้อยซอมบี้ - Zombie Kid"

 

เด็กชายคนหนึ่งเกิดในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาเป็นเด็กที่มีผิวขาวซีด และลูกตาโตมาก

 

เมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้น แม่ของเขาก็รู้ได้เองว่าเด็กคนนี้ไม่มีความรู้สึกใดๆ เป็นแค่ซอมบี้ที่ต้องการอาหารเท่านั้น

 

ดังนั้น เพื่อไม่ให้คนในหมู่บ้านรู้ แม่จึงเอาเขาไปขังไว้ในห้องใต้ดิน และทุกคืนเธอจะแอบไปขโมยสัตว์เลี้ยงบ้านอื่นมาให้ลูกกิน และแอบเลี้ยงเขาเช่นนั้น

 

...วันหนึ่งไก่... อีกวันหมู...

 

ผ่านไปหลายปี

.

.

.

จนอยู่มาวันหนึ่ง โรคระบาดมาเยือนหมู่บ้าน สัตว์เลี้ยงที่เหลืออยู่พากันตายหมด ผู้คนก็ตายไปมากเช่นกัน ส่วนคนที่เหลือรอดก็ออกจากหมู่บ้านไปกันหมด...


แม่ที่ไม่สามารถทิ้งลูกไปได้ ในที่สุดก็ตัดขาข้างหนึ่งของตัวเองให้ลูกที่ร้องด้วยความหิวกิน

 

วันต่อมาก็ตัดแขนหนึ่งข้าง

 

....ตัดทุกอย่างให้ไปจนหมด....

 

ในที่สุดเมื่อเธอเหลือเพียงลำตัว เธอก็โผเข้ากอดลูกน้อยเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อมอบร่างที่เหลือของตัวเองให้

 

ลูกน้อยกอดแม่ที่เหลือแต่ลำตัวไว้แน่นด้วยแขนทั้งสองข้าง แล้วพูดออกมาเป็นครั้งแรกว่า

 

"แม่..ช่าง..อบอุ่นเหลือเกิน"

 

.

.

.

สิ่งที่ลูกต้องการคือ 'กินให้หายหิว' หรือ 'โหยหาความอบอุ่นจากแม่กันแน่'




[ เรื่องที่ 3 ]

"เจ้าหมาในวันใบไม้ผลิ - The Cheerful Dog"

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหมาน้อยตัวหนึ่งที่เก็บความรู้สึกเก่งมาก

 

เจ้าหมาใช้ชีวิตโดยถูกผูกไว้ใต้ต้นไม้ซึ่งมีร่มเงา มันกระดิกหางเก่งแถมยังน่ารักน่าเอ็นดูมาก ผู้คนในหมู่บ้านเลยพากันเรียกมันว่า "เจ้าหมาในวันใบไม้ผลิ"

 

แต่ว่า...เจ้าหมาที่ตอนกลางวันเล่นกับเด็กเด็กอย่างสนุกสนาน พอตกดึกกลับส่งเสียงครางแล้วแอบร้องไห้

 

ที่จริงเจ้าหมาในวันใบไม้ผลิอยากจะปลดเชือกที่ล่ามไว้และไปวิ่งเล่นในทุ่งกว้างของฤดูใบไม้ผลิ แต่เพราะว่ามันทำแบบนั้นไม่ได้ เลยร้องไห้อย่างเศร้าสร้อยทุกคืน...


วันหนึ่ง หัวใจกระซิบถาม'เจ้าหมาในวันใบไม้ผลิ'ว่า

 

”นี่! ทำไมนายไม่ปลดเชือกที่ล่ามไว้แล้วหนีไปซะล่ะ”

 

เจ้าหมาในวันใบไม้ผลิเลยบอกว่า

 

"ฉันโดนผูกมานานมากเลยลืมวิธีปลดเชือกไปแล้ว ไม่มีทางหนีพ้นไปได้หรอก"

 

.

.

.

แต่สุดท้ายวันนึงเจ้าหมาก็คิดได้ และได้พยายามปลอดเชือกที่ผูกตอกกับตะปูเล็กๆออกจนตัวเองเป็นอิสระ




[ เรื่องที่ 4 ]

"มือของปลาแองเกลอร์ - The Hand, The Monkfish"

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กน้อยที่แสนงดงาม เกิดในบ้านเศรษฐีแห่งหนึ่ง

 

แม่ผู้รักลูกน้อยซึ่งมีผิวขาวราวดอกแมคโนเลียและงดงามอย่างมาก ถ้าเพื่อลูกของเธอแล้วเธอสัญญาว่าจะเอาเดือนเอาตะวันมาให้ลูกให้ได้

 

.

.

.

พอลูกเริ่มกินข้าวได้ แม่ก็ดีใจแทบกระโดดโลดเต้น

 

"ลูกจ๊ะ แม่จะป้อนให้หมดเลยนะ

อ้าปากกว้างๆ ....ไหนอ้าปากแบบนี้ซิ"

 

พอลูกเริ่มเดินได้แม่ก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหา

 

"ลูกจ๊ะ เดี๋ยวแม่ให้ขี่หลัง

รีบขึ้นมาขี่หลังแม่มา"

 

.

.

.

หลังจากทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นให้ลูกและเลี้ยงลูกมาอย่างสมบูรณ์แบบ วันนึงแม่ก็พูดว่า

 

"ลูกรักของแม่... แม่คงต้องพักสักหน่อยแล้ว จากนี้ไปลูกป้อนข้าวแม่หน่อยนะ"

 

ลูกเลยบอกว่า

 

"แม่คะ หนูไม่มีมือเพราะไม่เคยใช้เลยสักครั้ง มันเลยหายไปแล้ว"

 

"ถ้าอย่างนั้นลูกแม่ ช่วยแบกแม่หน่อยได้ไหมแม่เจ็บขา"

 

ลูกเลยบอกว่า

 

"แม่ค่ะ เท้าหนูก็ไม่มีค่ะ เพราะใช้ชีวิตโดยขี่หลังแม่มาตลอด เท้าหนูไม่เคยแตะพื้นเลยสักครั้ง

....แต่ว่า....ปากหนูกว้างมากนะคะ"

 

เธอบอกแบบนั้นแล้วก็อ้าปากกว้าง

 

.

.

.

แม่โกรธจัดเลยตะโกนว่า

 

"ที่แท้แกก็ไม่ใช่ลูกที่สมบูรณ์แบบสินะ แต่เป็นปลาแองเกลอร์ที่ไร้ประโยชน์ เป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ทำอะไรไม่เป็นนอกจากรอกินเท่านั้น"

 

แม่เลยโยนลูกลงทะเลไกลแสนไกล...

 

.

.

.

หลังจากวันนั้นว่ากันว่า พอวันไหนที่ลมทะเลกรรโชก เหล่ากะลาสีจะได้ยินเสียงร้องของเด็กน้อย

 

"แม่คะ..แม่..หนูทำอะไรผิดหรอ มารับหนูกลับไปที"

 

"มารับหนูกลับไปที"




เป็นยังไงกันบ้างคะ

แต่ละเรื่อง... หม่าม้าว่ามันช่างบาดใจ และสะกิดต่อมอารมณ์จริงๆ

 

3 เรื่องข้างบน... ที่เกาหลีเค้านำมาตีพิมพ์เป็นนิทานจริงๆแล้วด้วยนะคะ.. แต่เรื่องสุดท้าย 'มือของปลาแองเกลอร์' ยังไม่มีการนำมาตีพิมพ์ อาจจะเพราะหลายเสียงบอกว่ามันดูหลอนไปหน่อย 😅😅

 

แต่หม่าม้ากลับชอบแฮะ... มันสะท้อนการเลี้ยงลูกได้ดี พอๆกับเรื่อง'เด็กน้อยซอมบี้'เลย ❤ 

#หม่าม้าขาเม้าท์ #ItsOkayToNotBeOkay #เรื่องหัวใจไม่ไหวอย่าฝืน #Netflix #โกมุนยอง

 


0 comments